การเขียนบทความทางวิชาการเพื่อเข้าสู่การขอตำแหน่งทางวิชาการ และการเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตร

การตั้งชื่อเรื่องบทความ

1. กระชับ (Compact) ไม่สั้นหรือยาวเกินไป โดยอาจแสดงถึงแนวทางหรือวิธีการที่ใช้ในการศึกษาไว้ด้วยโดย ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย (Redundant) หรือคำที่ไม่จำเป็น (Unnecessary)ใช้คำให้น้อยที่สุด ประมาณ  10 – 15 คำ ในการตั้งชื่อเรื่อง

2. ตรงประเด็น (Cogent) มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกับสาระหลัก หรือวัตถุประสงค์ของงานวิจัย สื่อ ความหมายเจาะจงลงไปในเรื่องที่ทำ ไม่ควรสื่อความที่กว้างเกินไปดัง เช่น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช

3. การตั้งชื่อเรื่องอาจจะตั้งเป็นคำถามหรือวลีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นประโยค

 

เทคนิคการเขียนบทความทางวิชาการ

          บทความทางวิชาการ หมายถึง งานเขียนซึ่งมีการกำหนดประเด็นที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวตามหลักวิชาการ และมีการสรุปประเด็น อาจเป็นการนำความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มาวิเคราะห์ โดยผู้เขียนสามารถให้ทัศนะทางวิชาการของตนเองได้อย่างชัดเจน

          การเขียนบทความทางวิชาการเป็นส่วนหนึ่งของการขอตำแหน่งทางวิชาการซึ่งเป็นการพัฒนาตนเองของอาจารย์ประจำหลักสูตรจึงควรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้เขียนต้องมีความรู้ความเข้าใจในการเขียนบทความแต่ละประเภทให้เข้าใจชัดเจนดังนี้

1. บทความวิจัยเป็นการประมวลผลอย่างกระชับและสั้นของกระบวนการวิจัยและผลการวิจัย ซึ่งเป็นงานศึกษาหรือค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยวิธีวิทยาการวิจัย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้น ๆ และมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล คำตอบ ข้อสรุปที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือเอื้อต่อการนำวิชานั้นไปประยุกต์

2. บทความวิชาการ  เป็นงานเขียนทางวิชาการ ซึ่งมีการกำหนดประเด็นที่ต้องการอธิบายหรือวิเคราะห์อย่างชัดเจน ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวตามหลักวิชาการ โดยมีการสำรวจวรรณกรรมเพื่อสนับสนุน จนสามารถสรุปวิเคราะห์ในประเด็นนั้น ๆ ได้อาจเป็นการนำความรู้จากแหน่งต่าง ๆ มาประมวลร้อยเรียงเพื่อวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ โดยผู้เขียนแสดงทัศนะทางวิชาการของตนไว้ชัดเจน

3. บทความปริทัศน์เป็นบทความทางวิชาการที่มีการศึกษารวบรวมและวิเคราะห์องค์ความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง รอบด้าน และเป็นระบบ รวมทั้งมีการอภิปรายผลในเรื่องที่ศึกษาให้เห็นถึงแนวโน้มว่าเป็นไปในทิศทางใด  มีข้อดีข้อเสียหรือจุดแข็งจุดอ่อนขององค์ความณุ้อย่างไร ตามทัศนะทางวิชาการของผู้เขียน

4. บทวิจารณ์หนังสือ  เป็นการวิเคราะห์ว่าหนังสือเล่มนั้นบรรลุเป้าหมายที่ต้องการสื่อออกมาไหมและแสดงความคิดเห็นของผู้เขียนด้วย       

                                                               

     โครงสร้างของบทความประเภทต่าง ๆ

 

บทความวิชากร/ปริทัศน์

บทความวิจัย

ส่วนประกอบตอนต้น (ส่วนนำ)

ส่วนประกอบตอนต้น (ส่วนนำ)

 1. ชื่อเรื่อง

 2. ข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน

 3. บทคัดย่อหรือสาระสังเขป

 1. ชื่อเรื่อง

 2. ข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน

 3. บทคัดย่อหรือสาระสังเขป (โดยเน้นเฉพาะประเด็นข้อ  ค้นพบที่สำคัญของผลการวิจัย)

ส่วนเนื้อหา

ส่วนเนื้อหา

 1. ความนำเป็นการเขียนที่สาระสำคัญและจุดมุ่งหมายของเรื่องที่จะเขียน ซึ่งจะเป็นการปูพื้นเข้าสู่เนื้อความของบทความ

 2. เนื้อความ จะเป็นการเขียนรายละเอียดประเด็น  ตามที่ ผู้เขียนได้วางโครงเรื่องไว้ โดยหัวข้ออาจแตกต่างกันไปในบทความวิชาการแต่ละเรื่อง โดยผู้เขียนจะเขียนทั้งข้อเท็จจริง ข้อมูล ข้อค้นพบต่าง ๆ และแทรกความคิดเห็นของผู้เขียนตลอดจนทัศนะในด้านต่าง ๆ

 1. ความนำ เป็นการเขียนสาระความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

 2. เนื้อความเป็นการเขียนองค์ประกอบของการวิจัยตามที่ได้ดำเนินการวิจัย ได้แก่

   2.1  วัตถุประสงค์การวิจัย

   2.2  สมมติฐานการวิจัย (ถ้ามี)

   2. 3 การทบทวนวรรณกรรม

   2.4  ระเบียบวิธีการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และวิธีการ

  วิเคราะห์ข้อมูล

   2.5  ผลการวิจัย

บทสรุป

บทสรุป

เป็นการสรุปสาระของรายละเอียดในเนื้อหา หรือเสนอเป็นข้อสังเกต หรือข้อเสนอแนะอื่น บทสรุปควรเน้นที่ประเด็นสำคัญ หรือประเด็นหลักที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพของส่วนเนื้อหา

เป็นการอภิปรายผล และข้อเสนอแนะโดยจะเขียนสรุปประเด็นหลักของการวิจัย รวมทั้งอภิปรายผลการวิจัยตามหลักแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้

ส่วนประกอบตอนท้าย

ส่วนประกอบตอนท้าย

- บรรณานุกรม/เอกสารอ้างอิง

1. บรรณานุกรม/เอกสารอ้างอิง

2. กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี)


บทคัดย่อ (Abstracts)บทความวิจัย/วิชาการ/ปริทัศน์

     บทคัดย่อ (Abstract)  หมายถึง การสรุปอย่างได้ใจความที่สุด บทคัดย่อจะเน้นจุดสำคัญหรือผลลัพธ์ในรายงานให้เด่นชัด เพื่อที่จะบอกให้ผู้อ่านรู้ว่าในรายงานนั้นจะมีเรื่องสำคัญอะไร และเป็นบทที่อยู่หน้าเนื้อเรื่องโดยทั่วไปจะเขียนต่อจากชื่อเรื่อง หรืองานวิจัยนั้น สำหรับรายงานการวิจัยต้องเขียนบทคัดย่อทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษโดยมีองค์ประกอบดังนี้

          ส่วนแรก   คือ วัตถุประสงค์

          ส่วนที่สอง คือ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย การเก็บข้อมูล และสถิติที่ใช้

          ส่วนที่สาม คือ ผลการวิจัย/ผลการทดลอง ข้อสรุปหลัก และควรปิดท้ายด้วยประโยชน์และการประยุกต์ใช้

หมายเหตุ: บางแหล่งตีพิมพ์กำหนดคำในบทคัดย่อ แนะนำว่าให้เขียนไปก่อนโดยไม่ต้องคำนึงจำนวนคำ แล้วค่อยมาตัดทิ้งภายหลัง



หลักเกณฑ์ในการเขียนบทคัดย่อที่ดี  มีดังนี้

1.       1. ควรคัดแต่เรื่องสำคัญ ๆ ที่เป็นประเด็นน่าสนใจทั้งหมด จะต้องเน้นการถ่ายทอดเฉพาะจุดเด่นของการศึกษา โดยงานวิจัยมีความชัดเจน สั้น กะทัดรัด พอดีกับกฎเกณฑ์บางอย่างของบทคัดย่อที่ดี เช่นจำนวนคำต้องอยู่ระหว่าง 200-250 คำ หรือประมาณไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ  A4

2. ก่อนการอ่านและทำความเข้าใจกับงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ของตนเอง เพื่อหาประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ดึงดูดให้ผู้อ่านทั่วไปอยากอ่านวิจัยเล่มสมบูรณ์

3. ไม่มีการตีความหรือวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้ความคิดของตนเอง

4. ไม่ควรเขียนประโยคที่เข้าใจยาก หรือมีความรุนแรงในตัวมาใช้ ไม่ใช้ศัพท์เฉพาะท้องถิ่น ไม่ใช้ตัวย่อหรือสัญลักษณ์โดยไม่จำเป็น เพราะอาจสร้างความไม่เข้าใจให้ผู้อ่านได้

5. ไม่ควรอ้างอิงตัวเลข แผนภาพ ตาราง โครงสร้างสูตรสถิติต่าง ๆ หรือสมการต่าง ๆ ในบทคัดย่อ นอกจากจำเป็นที่จะแสดงผลการวิเคราะห์

6. ในการเขียนบทคัดย่อ อาจมีหลายย่อหน้าได้ เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้ผู้อ่านในแต่ละตอน

7. หลีกเลี่ยงการอ้างอิงงานวิจัยของผู้อื่นในบทคัดย่อ

8. ทำตามขั้นตอนของโครงสร้างการเขียนบทคัดย่อ โดยต้องระมัดระวังให้มาก รวมถึงลักษณะแบบตัวอักษร ขนาดตัวอักษร การกำหนดขอบเขตหน้ากระดาษ เคร่งครัดต่อหลักการพิมพ์ และรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับ ควรระมัดระวังในการตรวจสอบการเขียนโดยอ่านหลาย ๆ รอบ จะเป็นการเพิ่มคุณภาพของบทคัดย่อให้เป็นที่ยอมรับในการนำเสนองานวิจัย

การเขียนคำสำคัญ (Keyword)บทความวิจัย/วิชาการ/ปริทัศน์

  •          ควรมีคำสำคัญไม่น้อยกว่า 3-5 คำ
  •          คำสำคัญ คือ ตัวแปรของการวิจัย
  •         คำสำคัญ คือ คำเฉพาะในงานวิจัยนั้นและเป็นคำที่เป็นสากลยอมรับกันทั่วไป
  •         คำสำคัญจะนำไปใช้ประโยชน์ในการเขียนของบทนำ

บทนำ (Introduction)บทความวิจัย/วิชาการ/ปริทัศน์

  •          อธิบายที่มาและความสำคัญของปัญหา ช่องว่างของปัญหา หรือ ที่นำไปสู่ การวิจัย และต้องมีการอ้างอิงที่มาของบทนำด้วย
  •          โดยทั่วไป บทนำ มี 2-3 paragraphs
  •          Paragraph 1 หรือ 2 เขียนถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ตีพิมพ์มาก่อน โดยต้องทบทวนวรรณกรรมให้ทั่วถึงครบถ้วนอ้างอิง paper ที่นำมาใส่ให้ถูกต้อง
  •          Paragraph 2 หรือ 3 นำเสนองานของตนเอง ให้ข้อมูลถึงเหตุผลที่ต้องทำวิจัยเรื่องนี้ พร้อมสอดแทรกวัตถุประสงค์ของการวิจัย
  •          ปิดท้ายด้วยผลการศึกษาสั้นๆ พร้อมประโยชน์และการประยุกต์ใช้ ต้องเขียนออกมาให้ได้ว่างานวิจัยนี้น่าสนใจ

วัตถุประสงค์การวิจัย (Objective)บทความวิจัย

  •          วัตถุประสงค์การวิจัยในบทความวิจัยให้เลือกบางข้อจากรายงานวิจัย
  •          วัตถุประสงค์การวิจัยในบทความวิจัยขึ้นอยู่กับประเภทของบทความวิจัยที่ต้องการนำเสนอ
  •         วัตถุประสงค์การวิจัยในบทความวิจัยไม่จำเป็นใส่ทุกข้อเหมือนในรายงานวิจัย เลือกเฉพาะที่ต้องการรายงานผล
  •          ผลการวิจัยในบทความต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ถ้าต้องการรายงานผลการวิจัยเพิ่มก็เพิ่มวัตถุประสงค์การวิจัย

วิธีการวิจัย (Research Methods)บทความวิจัย

  •         เป็นการเขียนเพื่อให้ทราบว่าข้อมูลของงานวิจัยนี้ถูกรวบรวมหรือถูกสร้างขึ้นอย่างไร
  •          ประกอบด้วยขอบเขตข้อมูล เช่น ประชากร กลุ่มตัวอย่าง วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือ การสร้างเครื่องมือ เก็บข้อมูลอย่างไร วิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ซึ่งอาจเป็นวิธีการเชิงคุณภาพหรือปริมาณหรือวิธีผสมผสาน ขึ้นอยู่กับประเภทของงานวิจัย

ผลการวิจัย (Results)บทความวิจัย

  •          แสดงผลการวิจัยและข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาวิจัยนั้น
  •          ควรมีบทนำสั้น ๆ /วัตถุประสงค์ของการศึกษาในแต่ละผลการศึกษา
  •         ควรมีสรุปผลการศึกษาสั้น ๆ ในแต่ละผลการศึกษา
  •          ใช้รูปภาพ หรือ ตาราง แสดงผลเพื่อง่ายต่อการเข้าใจ
  •          หากเป็นการเปรียบเทียบต้องแสดงค่าทางสถิติ
  •          รูปและตารางควรนำเสนอในรูปแบบที่สวยและเข้าใจง่าย  แบบ eye-catching format”
  •          ทุกรูปและตารางจะต้องมีการระบุในเนื้อเรื่อง ต้องมีคำอธิบาย
  •          การเขียนคำอธิบายใต้ภาพต้องเขียนให้สื่อความหมายเพื่อนำไปสู่การเข้าใจรูปได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อภิปรายผล (Discussion)บทความวิจัย

  •          ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น เป็นผลที่ค้นพบ โดยลำดับตามวัตถุประสงค์ที่ศึกษา
  •         อภิปรายผลของวิจัยที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร เป็นการอธิบายสาเหตุการเกิดผล การเปรียบเทียบผลกับข้อมูลหรือข้อสรุป ที่ได้มาจากการทบทวนวรรณกรรม หรือข้อมูลของงานวิจัยของผู้อื่นที่มีการรายงานไว้แล้วมาสนับสนุน

ควรหลีกเลี่ยง การนำผลการศึกษามาเขียนซ้ำในการอภิปรายผล

 

สรุป (Conclusion)บทความวิจัย/วิชาการ/ปริทัศน์

เป็นการสรุปผลที่ได้รับจากการวิจัยแบบกระชับเข้าใจง่ายตามวัตถุประสงค์ที่ศึกษา

 

ข้อเสนอแนะ (Recommendation)บทความวิจัย

  •          เป็นการนำเสนอว่าผลจากการวิจัยนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์จริงได้อย่างสมเหตุสมผล และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ โดยยกแนวทางในการนำไปพิสูจน์ในครั้งต่อไป มี ๒ แนวทาง คือ
  •          ข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้
  •          ข้อเสนอแนะที่สืบเนื่องจากผลการวิจัย เพื่อเป็นการพัฒนาต่อเนื่องให้ได้องค์ความรู้เพิ่มเติมจากการพิสูจน์ตามข้อเสนอที่มีผลกระทบต่องานวิจัย 

รายการอ้างอิง (References)บทความวิจัย/วิชาการ/ปริทัศน์

  •          ส่วนมากใช้รูปแบบการอ้างอิง APA Style 
  •          ควรเป็นอ้างอิงที่ไม่เกิน 5 – 8 ปี จากปีปัจจุบัน
  •          ควรหาอ้างอิงจากบทความวิชาการมาอ้างอิง
  •          แต่ละแหล่งตีพิมพ์มีรูปแบบอ้างอิงที่แตกต่างกัน ต้องเขียนตามที่แต่ละแหล่งตีพิมพ์กำหนด
  •         ต้องใส่อ้างอิงให้ครบตามที่ปรากฏในเนื้อหา

 

แนวทางในการเขียนบทความวิจัย

1. ถามตัวเองก่อนว่าจะเขียนไหม (ทำวิจัยแล้วหรือยัง)

2. ทำความเข้าใจธรรมชาติของบทความวิจัยให้ดีก่อน

3. กำหนดเค้าโครงที่จะเขียน

4. อ่านทบทวนงานวิจัยที่ทำให้เกิดความซาบซึ้ง

5. พยายามกลั่นกรอง (Condense) และ ย่อย (Digest) เนื้อหาจากรายงานการวิจัย มาเรียบเรียงเป็นบทความ (หลีกเลี่ยงการตัดแปะ)

6. เขียนตามลำดับขั้นตอนที่เป็นที่ยอมรับ

7. ตระหนักในเรื่องการใช้ภาษา (ศิลปะ) และถูกหลักไวยากรณ์

about-img